ในช่วงปี 2566-2568 อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางบวก เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กลับมาเข้มแข็งขึ้นหลังการระบาดของโรคโควิด-19 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น และการกลับมาของความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้รับเหมารวมถึงผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างควรเตรียมพร้อมเพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้นในตลาด ซึ่งมาจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
การวางแผนการลงทุน การเลือกใช้วัสดุ และการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง
การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากวัสดุบางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอาจทำให้ต้นทุนการจัดหาวัสดุสูงขึ้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องวางแผนการจัดซื้อและทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของค่าเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการดำเนินงาน
ราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็กและปูนซีเมนต์ อาจปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นและอุปทานที่จำกัด การเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง นอกจากนี้ การใช้วัสดุทางเลือก เช่น วัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่ผลิตในประเทศ อาจช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนให้กับโครงการ
ตลาดต่างประเทศ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้โอกาสนี้ในการขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น การมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศที่กำลังเติบโตจะเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจวัสดุก่อสร้างไทย
รัฐบาลได้มีการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางหลวง รถไฟฟ้า และโครงการเมืองใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ ผู้รับเหมาและผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างสามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าร่วมโครงการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในตลาด ผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น คอนกรีตซ่อมแซมตัวเอง ฉนวนกันความร้อน และวัสดุรีไซเคิล จะมีโอกาสในการขยายตลาดและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยี เช่น Building Information Modeling (BIM) และการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) เป็นตัวช่วยที่สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการก่อสร้าง ผู้รับเหมาสามารถปรับใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ความต้องการที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ผู้รับเหมาและผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างสามารถตอบสนองต่อความต้องการนี้โดยการจัดหาและส่งมอบวัสดุที่มีคุณภาพสูงและราคาที่เหมาะสม การเน้นคุณภาพวัสดุจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและสร้างชื่อเสียงที่ดีในระยะยาว
อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในช่วงปี 2566-2568 มีแนวโน้มเติบโตไปในทางบวกเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมรับมือกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาวัสดุ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการลงทุนในโครงการที่ตอบสนองต่อความต้องการในตลาด จะช่วยให้ธุรกิจมีความมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว